วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

Lotus




       otus Cars บริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตและรถแข่งสายเลือดอังกฤษ ขึ้นชื่อในเรื่องของการสร้างและออกแบบรถยนต์ที่มีน้ำหนักเบา และการควบคุมเป็นเลิศ โรงงานตั้งอยู่ข้างสนามบิน RAF Hethel เมือง Norfolk ถือกรรมสิทธิ์โดยบริษัท Proton ผู้ซื้อกิจการจากเจ้าของคนเก่าอย่าง Bugatti Automobili SpA ที่ถูกฟ้องล้มละลายในปี 1994
 
          แรกเริ่มบริษัทก่อตั้งในชื่อ Lotus Engineering Ltd. เมื่อปี 1952 โดยวิศวกร Colin Chapman โรงงานผลิตแห่งแรกเดิมทีตั้งอยู่ที่โรงเลี้ยงสัตว์หลัง Railway Hotel ทางลอนดอนตอนเหนือ จากนั้นในปี 1954 ได้มีวิศวะกรส่วนหนึ่งแยกตัวออกมาตั้ง Team Lotus เพื่อดำเนินกิจการทางด้านมอเตอร์สปอร์ต และลงแข่ง Formula One ในปี 1958
         ตัวอักษร 4 ตัวบนโลโก้ของ Lotus เป็นชื่อย่อของผู้ก่อตั้ง Anthony Colin Bruce Chapman ส่วนที่มาของชื่อยี่ห้อ Lotus ยังไม่มีที่มาแน่ชัด 
 
 
 
 
 
 
แต่มีทฤษฎีที่มีความเป็นไปได้สูง ได้บันทึกไว้ว่าเป็นชื่อของ Hazel ภรรยาของเขาที่มีชื่อเล่นว่า Lotus blossom
           รถคันแรกของ Chapman ได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อสมัยเขายังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยลอนดอนในปี 1948 เสร็จสมบูรณ์ในรูปแบบของรถทดลองที่มีชื่อว่า Lotus Mark l ซึ่งเป็นต้นแบบของ Austin 7 ในส่วนของเกียร์และแชสซี

           
 
 
 
     ในปี 1959 ได้เปลี่ยนรูปแบบบริษัทเป็นบริษัท Lotus Group มหาชน และย้ายโรงงานไปที่ Cheshunt ทำเลใหม่บริเวณสนามบิน Hethel ในรูปแบบโรงงานที่ทันสมัยมากขึ้น พร้อมด้วยรันเวย์ไว้ทดสอบสมรรถภาพของรถ ซึ่งการปรับเปลี่ยนรูปแบบบริษัทครั้งนี้ มีการทำงานที่แบ่งกันอย่างชัดเจนคือ Lotus Cars Limited และ Lotus Components Limited แรกเริ่มทั้ง 2 บริษัทได้มุ่งเน้นในเรื่องของการผลิตรถยนต์ที่ใช้ตามท้องถนน ต่อมา Lotus Components Limited ได้ปรับเป็น Lotus Racing Limited แต่ในปี 1971 หลังจากการเปลี่ยนชื่อใหม่ บริษัทก็ได้หยุดดำเนินการภายในปีนั้น

           
 
 
 
        จากนั้น Chapman ก็ถึงแก่กรรมด้วยโรคหัวใจเมื่อปี 1982 ด้วยอายุ 54 ปี เริ่มต้นชีวิตจากบุตรชายเจ้าของโรงแรม และจบชีวิตด้วยการเป็นเศรษฐีอุตสาหกรรม ซึ่งหลังจากการเสียชีวิตของ Chapman ในปี 1986 บริษัทก็ถูกซื้อโดยบริษัท General Motors และถูกขายต่อในปี 1993 ให้กับ A.C.B.N บริษัทที่บริหารโดยนักธุรกิจชาวอิตาเลียนผู้เป็นเจ้าของ Bugatti Automobili SpA 
 
 


           
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
      ต่อมาในปี 1996 หุ้นส่วนใหญ่ของ Lotus ถูกถือโดย Perusahaan Otomobil Nasional Bhd (Proton) บริษัทรถยนต์ของชาวมาเลย์เซียซึ่งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของกัวลาลัมเปอร์ ซึ่ง Proton ผู้ครอบครอง Lotus เป็นบริษัทที่ปรึกษาและร่วมการพัฒนาด้านวิศวกรรมสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งน้อยคนนักจะรู้ว่าบริษัทนี้เป็นผู้รับผิดชอบด้านการออกแบบและพัฒนา เครื่องยนต์ 4 สูบ Ecotec สามารถพบได้จากรถในเครือ General Motor เช่น Vauxhall, Opel, Saab, Chevrolet และ Saturn ปัจจุบันได้จัดระบบ Lotus เป็น 2 ฝ่ายคือ Lotus Cars และ Lotus Engineering ซึ่ง CEO คนปัจจุบันคือ Dany T Bahar ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งรองผู้จัดการใหญ่อาวุโสการตลาดของ Ferrari SpA 

          
 
 
    ทางด้านวงการรถแข่ง Lotus คว้าชัยชนะแรกในรายการ Formula One ที่โมนาโค ปี 1960 ด้วยรถแข่ง Lotus 18 ที่ออกแบบโดยผู้ก่อตั้งอย่าง Chapman ในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาได้มีโอกาสเห็นรถที่เขาสร้างมาล้มเจ้าม้าผยองอย่าง Ferrari ได้ถึง 50 ครั้ง ต่อมาในปี 1963 Lotus ได้ประสบความสำเร็จสูงสุดด้วยรถรุ่น Lotus 25 สามารถคว้าชัยครั้งแรกของรายการ World Constructors Championship และรายการ Grand Prix อีกทั้งหมด 79 ครั้ง จากนั้นในปี 2010 ทาง Proton บริษัทผู้ครอบครอง Lotus ในปัจจุบันได้มีการประกาศแต่งตั้งทีม Lotus Renault GP หรือเรียกว่า Renaults เพื่อร่วมแข่งขันในรายการ 2011 FIA Formula One World Championship


ชื่อบริษัท: โลทัส คาร์ส์ ลิมิเทด LOTUS CARS LIMITED
ก่อตั้ง: 1 มกราคม 1952
สำนักงานใหญ่: HETGEL, NORWICH,
NORFOLK, CNGLAND,
NR 14 8EZ
เว็บไซต์: www.lotuscars.com
 


รถรุ่นสำคัญ: โลทัส มาร์ค ซิกซ์ (1952)
โลทัส มาร์ค เอจท์ (1957)
โลทัส เอลีน (1957)
โลทัส อีแลน (1962)
โลทัสยูโปา (1968)
โลทัส เอลีท (1974)
โลทัส เอสปรีต์ (1981)
โลทัส เอลีท (1982)
โลทัส เอสปรีต์ เทอร์โบ (1987)
โลทัส อีแลน (1989)

รถที่ผลิตในปัจจุบัน: โลทัส อีแลน (LOTUS ELAN)
โลทัส เอกเซล (LOTUS EXCEL)
โลทัส เอสปรีต์ (LOTUS ESPRIT)








 


BMW




Bayerische Motoren Werke AG (BMW) บริษัทผู้ผลิตยานยนต์และเครื่องยนต์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของคุณภาพและความ หรูหรา ตั้งอยู่ที่เมือง Munich ประเทศเยอรมัน เป็นบริษัทแม่ของ Rolls-Royce Motor Cars อีกทั้งยังเป็นเจ้าของรถยี่ห้อ Mini และผลิตรถมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อ BMW Motorradและ Husqvarna

 
       บริษัท BMW เกิดจากการรวมตัวของของ 3 บริษัทผู้ผลิต ได้แก่บริษัท Rapp Motorenwerk ผู้ผลิตเครื่องยนต์แห่งเยอรมัน ก่อตั้งในปี 1913 โดย Karl Rapp ผู้ออกแบบทางด้านเทคนิคของ Daimler Benz และอีกสองบริษัทคือ บริษัทBayerischeFlugzeugwerke และบริษัท Fahrzeugfabrik Eisenach ซึ่งในปี 1916 ทั้งสามบริษัทได้มารวมตัวกันในชื่อของบริษัท Bayerische Motoren Werke (BMW) โดยแรกเริ่มบริษัทนี้ก่อตั้งเพื่อการผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบิน 
แต่หลังจากนั้นในช่วงสมัยหลังสงครามโลกปี 1923 ได้ให้ความสนใจและหันมาผลิตมอเตอร์ไซค์มากขึ้น จึงได้ก่อตั้งบริษัทย่อย BMW Motorradเพื่อการผลิตและพัฒนามอเตอร์ไซค์โดยเฉพาะ ซึ่งในปีเดียวกันนี้ได้เปิดตัวมอเตอร์ไซค์คันแรกออกมาคือ BMWR23

            
 
 
 
 
 
 
ต่อมาในปี 1929 เรียกได้ว่าเป็นช่วงน้ำขึ้นให้รีบตัก BMW จึงได้เปิดตัวรถยนต์คันแรกตามมาสมทบอีกคือ BMW Dixi และใช้โลโก้รูปวงกลมฟ้าขาวซึ่งพัฒนามาจากโลโก้ดั้งเดิมของบริษัท Rapp Motorenwerke โดยมีหลายทฤษฎีที่พูดถึงที่มาของรูปนี้ไว้ว่าเป็นรูปของใบพัดเครื่องบินสี ขาวซึ่งหมุนตัดกับท้องฟ้า หรืออีกนัยหนึ่งได้ถูกระบุไว้ว่าสีฟ้าขาวที่อยู่ในโลโก้นั้นคือสีธงของเมือง Bavaria

          จากนั้นในปี 1955 BMW เริ่มหันมาผลิตรถยนต์มากขึ้นโดยอาศัยโครงสร้างการออกแบบของรถยี่ห้อ DKW ซึ่งผลิตออกมาช่วงก่อนสงครามโลก รถรุ่นที่ผลิตออกในเวลานั้นคือรถซาลูนสุดหรู BMW 501แต่ยอดขายในเวลานั้นไม่ได้ทำกำไรให้กับบริษัทเลย และด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ทำให้บริษัทเริ่มประสบปัญหาทางการเงิน ทางคณะกรรมการของ BMW เห็นสมควรว่า บริษัท BMW ควรจะรวมตัวกับบริษัท Daimler-Benz แต่ก็ถูกคัดค้านโดยตัวแทนจำหน่ายและผู้ถือหุ้นส่วนหนึ่ง จึงได้หาทางออกให้กับบริษัทโดยอาศัยที่พึ่งทางการเงินอย่างบริษัทผู้ผลิต เครื่องบิน Heinkel และ Messerschmitt ที่ทาง BMW เคยร่วมกันงานมาก่อนในการสร้างเครื่องบินลำแรกของโลก Messerschmitt Me 262 ซึ่งการกู้ยืมครั้งนี้ทำให้บริษัท BMW สามารถฝ่าวิกฤตและกลับมายืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเองอีกครั้ง

                  ต่อมาในปี 1995 BMW ได้เข้าซื้อกิจการของสตูดิโอ Designworks USA ซึ่งเป็นผู้ออกแบบเบาะนั่งของรถรุ่น BMW 850 และเป็นบริษัทผู้ออกแบบโครงสร้างของรถ BMW 3 Series (E46) ต่อมาในปี 1994 ได้ลงทุนซื้อกิจการบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอังกฤษ Rover Group ซึ่งมีรถหลายยี่ห้ออยู่ในเครือแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ตกอยู่ในสภาวะขาดทุนจึงได้ตัดสินใจขายบริษัท Rover Group ให้กับบริษัท MG Rover และบริษัท Ford แต่ได้เก็บยี่ห้อหนึ่งในเครือ Rover Group นั้นไว้ คือยี่ห้อ Mini ที่เปิดตัวไปในปี 2001

         
 
 
 
จากนั้นในปี 2007 BMW วางแผนที่จะขยายการเติบโตทางด้านมอเตอร์ไซค์ จึงได้ซื้อบริษัท Husqvarna Motorcyclesผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์สัญชาติสวีเดน แต่ยังคงบริหารองค์กรนั้นโดยใช้ชื่อ Husqvarna ซึ่งแยกออกจาก BMW Motorrad โดยสิ้นเชิง ทั้งด้านการพัฒนา การขาย และกิจกรรมต่างๆ ซึ่งมอเตอร์ไซค์ในเครือของ BMW นั้นขึ้นชื่อในเรื่องคุณภาพและความล้ำสมัย ผลิตตั้งแต่รถจักรยานเด็กเล่นยันรถมอเตอร์ไซค์เอนดูโร่ที่ไล่เก็บแชมป์แทบจะ เกือบทุกสนามการแข่งขัน
          ในปี 2010 ได้มีรายงานออกมาว่ายอดขายของ BMW เพิ่มขึ้นจากปีก่อนๆ โดยมีการผลิต BMW จำนวน 1,224,280 คัน Mini จำนวน 324,175 คัน Rolls-Royce จำนวน 2,711 คัน และมอเตอร์ไซค์จำนวน 98,047 คัน ซึ่งบ่งบอกการเจริญเติบโตของรถในเครือ BMW ซึ่งเป็นผู้นำการขายในตลาดรถอันดับต้นๆ ของโลก


          ทางด้านวงการรถแข่ง BMW ได้เข้าร่วมรายการมอเตอร์สปอร์ตเกือบทุกประเภทตั้งแต่เริ่มมีการแข่งขันใน ยุคแรกๆ ทั้งรถประเภทสี่ล้อและมอเตอร์ไซค์ ซึ่งทางด้านการแข่งขันรถสูตรหนึ่ง Formula One สามารถคว้าชัยได้ 20 รายการ และในปี 2006 บริษัท BMW ได้ซื้อทีมรถแข่งมืออาชีพอย่าง Sauber เข้ามาร่วมทำงานด้วยและได้เปลี่ยนชื่อทีมเป็น BMW Sauber แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก ต่อมาในปี 2009 BMW ได้ประกาศถอนตัวจากวงการ Formula One ทีม Sauber ได้ถูกขายคืนไปยังเจ้าของคนเก่าอย่าง Peter Sauber ซึ่งเขาได้นำทีม Sauber เข้าร่วมการแข่งขันในฤดูกาล 2010 แต่ก็ยังคงใช้ชื่อ BMW ร่วมอยู่ โดยมีชื่อทีมว่า BMW Sauber F1 




ชื่อบริษัท: บาเยริสเซ โดเรน เวร์เค อาเก (บีเอ็มดับบลิว
BAYERISCHE MOTOREN WERKE AG.(BMW)
ก่อตั้ง: ค.ศ. 1916
สำนักงานใหญ่: PETUELRING 130,8000 MUNCHEN 40, GERMANY.
ประธานบริษัท: มร.เอเบร์ฮาร์ด ฟอน คีนไฮม์
MR.EBERHARD VON KUENGEIM
เว็บไซต์: www.bmw.com





รุ่นรถสำคัญ: บีเอ็มดับบลิว 3/15 (1928)
บีเอ็มดับบลิว 328 (1936)
บีเอ็มดับบลิว 501 (1951)
บีเอ็มดับบลิว 2000 (1966)
บีเอ็มดับบลิว 2002 (1968)
บีเอ็มดับบลิว 520 ไอ (1972)
บีเอ็มดับบลิว 320 (1975)
บีเอ็มดับบลิว 635 ซีเอสไอ (1978)
บีเอ็มดับบลิว เอม 1 (1979)
บีเอ็มดับบลิว เอม 5 (1985)
บีเอ็มดับบลิว 750 ไอแอล (1987)
บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 3 ซาลูน
บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 3 คูเป
บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 3 คาบริโอเลต์
บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 5 ซาลูน
บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 5 ทัวริง
บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 7 ซาลูน
บีเอ็มดับบลิว อนุกรม 8 คูเป

Gallary:BMW Autopictures














MERCEDES BENZ

MERCEDES BENZ  เมร์เซเดส-เบนซ์




      เมร์เซเดส-เบนซ์ หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า เบนซ์ นับเป็นรถเยอรมันุคณภาพเยี่ยมอีกยี่ห้อหนึ่ง สัญลักษณ์ของรถยี่ห้อนี้ เป็นรูปดาวสามแฉกล้อมรอบด้วยวงกลม ผู้ผลิตรถเมร์เซเดส-เบนซ์ คือ บริษัท ไดมเลร์-เบนซ์ อาเก ( DAIMLER-BENZ AG) แห่งเยอรมนี ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์เก่าแก่และมีประวัติความเป็นมาของรถยนต์ที่ขับ เคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาป ภายใน บริษัท ไดมเลร์-เบนซ์ อาเก ถือกำเนิดในปี 1926 โดยเป็นผลลัพธ์จากการรวมตัวของผู้ผลิตรถยนต์สองรายที่มีบทบาทอย่างสำคัญต่อ อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ยุคบุกเบิก คือ บริษัท DAIMLER MOTORENGESELLS- CHAFT ซึ่ง โกทท์ลีบ ไดมเลร์ (GOTTLIEB DAIMLER) ผู้ได้ชื่อว่าเป็น ผู้ประดิษฐ์รถยนต์สี่ล้อคันแรกของโลก ก่อตั้งเมื่อปี 1890 กับบริษัท BENZ & CIE ของคาร์ล เบนซ์ (CARL BENZ) ผู้ได้ชื่อว่าเป็นนักประดิษฐ์คนสำคัญของโลกที่ผลิตรถยนต์ออกจำหน่าย และขณะที่รวมกิจการเข้าด้วยกันโกทท์ลีบ ไดมเลร์ได้เสียชีวิตไปแล้วประมาณ 10 ปี











      ส่วนชื่อ เมร์เซเดส (MERCEDES) ซึ่งเป็นชื่อยี่ห้อรถนั้น มีจุดเริ่มต้นในปีที่โกทท์ลีบ ไดมเลร์ถึงแก่กรรมเมื่อ วิลเฮล์มมายบัค (WILHELM MAYBACH) ผู้สืบทอดกิจการจากโกทท์ลีบ ไดมเลร์ได้ตั้งขื่อรถขนาด 35 แรงม้า ที่ส่งเข้าแข่งขันและได้รับชัยชนะที่เมืองนีศ ในประเทศผรั่งเศสว่า “เมร์เซเดส” ตามชื่อธิดาคนโตของเอมิลเจลลิเนค (EMIL JELLNEK) นายธานคารชาวออสเตรียซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายรถให้แก่ไดมเลร์ในขณะนั้น และนับแต่นั้นเป็นต้นมาชื่อเมร์เซเดสก็ได้กลายชื่อยี่ห้อรถของไดมเลร์ ครั้นเมื่อรวมกิจการเข้ากับเบนซ์ในอีก 26 ปีต่อมา รถที่บริษัทใหม่นี้ผลิตออกจำหน่ายก็ใช้ชื่อ “เมร์เซเดส-เบนซ์” และใช้เครื่องหมายดาวสามแฉกล้อมรอบด้วยวงกลมเป็นสัญลักษณ์ติดต่อกันมาตราบจนปัจจุบัน ไดมเลร์-เบนซ์ นับเป็นตัวอย่างที่ดีของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ที่สามารถประยุกต์ขบวนการผลิตแบบ MASS PRODUCTION หรือ “มวลผลิต” เข้ากับการผลิตรถระดับหรู หรือ EXOTIC CAR ปัจจุบัน ไดมเลร์-เบนซ์ มีฐานะเป็นบริษัทอุตสาหกรรมที่มียอดขายสูงสุดของเยอรมนี








ในปี 1990 ไดมเลร์-เบนซ์ ทำยอดขายได้รวมทั้งสินประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท และนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 1989 เป็นต้นมา ไดมเลร์-เบนซ์ ได้แยกกิจการผลิตรถยนต์ออกเป็นบริษัทเอกเทศมีชื่อว่าบริษัท เมร์เซเดส-เบนซ์ อาเก (MERCEDES-BENZ AG) บริษัทที่ก่อตั้งขึ้นใหม่นี้ มีฐานะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับสองของเยอรมนี ในปี 1990 เมร์เซเดส-เบนซ์ผลิตรถยนต์ออกสู่ตลาดรวมทั้งสิ้น 574,395 คันและมีรายได้จากการขายรถยนต์นั่งรวมทั้งสิ้นประมาณ 568,000 ล้านบาท ปัจจุบัน เมร์เซเดส-เบนซ์ ผลิตรถยนต์นั่งออกจำหน่ายรวม 4 อนุกรม คือ อนุกรม ดับบลิว 201 (W201) อนุกรม ดับบลิว 124 (W124) อนุกรม ดับบลิว 140 (W140) และอนุกรม อาร์ 129 (R 129) เมร์เซเดส-เบนซ์ มีโรงงานในเยอรมนีรวม 11 โรง มีบริษัทสาขารวม 43 บริษัท มีพนักงานในเยอรนีมากกว่า 182,000 คน และมีพนักงานทั่วโลกประมาณ 235,000 คัน









 
ชื่อบริษัท: เมร์เซเดส-เบนซ์ อาเก (MERCEDES-BENZ AG)
ก่อตั้ง: ค.ศ. 1926
สำนักงานใหญ่: MERCEDESSTRASSE 136, 7000 STUTTGART 60, GERMANY,
ประธานบริษัท: ศาสตราจารย์ ดร.เวร์เนร์ นีฟเฟร์ (PROF.DR.WERNER NIEFER)
โรงงานในเยอรมนี: 11 โรงงาน
จำนวนพนักงาน: ประมาณ 235,000 คน
เว็บไซต์: www.mercedes-benz.de












รถรุ่นสำคัญ : ชตุทท์การ์ด 200 มันน์ไฮม์ (1926)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 170 วี (1935)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 260 ดี (1935)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 300 เอสแอล (1954)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 600 (1963)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 300 เอสอีแอล 3.5 (1969)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 280 ซีอี (1977)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 450 เอสแอสซี (1978)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 500 เอสแอสซี (1980)
เมร์เซเดส-เบนซ์ 190 (1983)
เมร์เซเดส-เบนซ์ ดับบลิว 124 (1985)
เมร์เซเดส-เบนซ์ ดับบลิว 140 (1991)







Ford


 Ford ฟอร์ด




Ford Motor Companyบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ข้ามชาติรายใหญ่เป็นอันดับสองของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ที่เมือง Dearborn รัฐ Michiganก่อตั้งในปี 1903 โดย Henry Ford ผู้ที่สร้างกระแส Fordism ด้วยค่านิยมของความทันสมัย และสินค้ามีคุณภาพราคาถูก ปัจจุบันบริษัท Ford Motor ได้ถือหุ้นของบริษัท Mazda ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นและบริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตหรูแห่งอังกฤษAston Martin
           ในวัยเด็กคุณพ่อของ Ford ได้มอบนาฬิกาให้เขาเรือนหนึ่ง ซึ่ง Ford ได้ทำการรื้อนาฬิกาชิ้นนั้นและประกอบมันขึ้นมาใหม่หลายครั้ง รวมถึงนาฬิกาเพื่อนๆ เขาด้วย จนในที่สุดเขาก็ได้เป็นช่างซ่อมนาฬิกาแต่หลังจากแม่ของเขาเสียชีวิต พ่อได้มอบกิจการฟาร์มของครอบครัวให้ Ford ดูแล แต่เขากลับไม่รู้สึกยินดีเพราะไม่ชอบงานไร่สวนจึงออกจากบ้านไปเป็นเด็กฝึกงานช่างเครื่องที่เมือง Detroit เวลาผ่านไป 5 ปีเขาได้กลับมายังฟาร์มที่บ้านเกิดเพื่อนำความรู้ที่ได้จากการฝึกงานมาผลิตเครื่องจักรไอน้ำแบบพกพา 
 
 
 
 
ต่อมาเขาได้ถูกบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้า Westinghouseว่าจ้างเพื่อให้บริการทางด้านเครื่องจักรไอน้ำแก่ลูกค้า ซึ่งในขณะนั้น Ford ได้เรียนบัญชีควบคู่ไปด้วย
            จากนั้นในปี 1891 เขาได้กลายเป็นวิศวกรให้กับบริษัทสถานีไฟฟ้า Edison Illuminatingที่ก่อตั้งโดย Thomas Alva Edison นักประดิษฐ์ชาวอเมริกา และถูกเสนอให้เป็นหัวหน้าวิศวกรในปี 1893 ช่วงนั้นเขามีเวลามากพอที่จะอุทิศตนให้กับความสนใจของเขาในเรื่องของการ ทดลองเครื่องยนต์เบนซิน และการทดลองนี้ประสบความสำเร็จออกมาเป็นรถยนต์คันแรก Ford Quadricycleและนำไปให้เหล่าบรรดาผู้บริหารของ Edison ได้ทดลองขับ

           


 
 
 
ต่อมาเขาได้ออกแบบรถคันที่สองซึ่งประสบความสำเร็จในปี 1898 และได้รับการสนับสนุนจาก William H. Murphy ทำให้ Ford ต้องลาออกจาก Edison มาก่อตั้งบริษัท Detroit Automobile Companyในปี 1899 แต่อย่างไรก็ตามบริษัทก็ผลิตได้เพียงแค่รถยนต์คุณภาพต่ำและราคาแพง ทำให้บริษัทไม่ประสบความสำเร็จและต้องยุบกิจการภายในเวลา 2 ปีต่อมา
           ในปี 1901 Ford และผู้ช่วยของเขา Childe Harold Willsร่วมกันออกแบบและสร้างเครื่องยนต์ 26 แรงม้าจนประสบความสำเร็จ และได้รับการสนับสนุนจาก Murphyอีกครั้ง จึงก่อตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาชื่อว่าHenry Ford Companyโดยที่ Ford ดำรงตำแหน่งในฐานะหัวหน้าวิศวกร ส่วนผู้สนับสนุนหลักอย่างMurphy ได้จ้าง Henry M. Lelandผู้ก่อตั้งรถยี่ห้อ Cadillac และ Lincolnมาเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัท ต่อมาไม่นานFord ตัดสินใจลาออก ส่วนทางMurphy ได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Cadillac Automobile Company 
 


         
จากนั้น Ford ได้เข้าร่วมทีมกับ Tom Cooper อดีตดาวรุ่งนักแข่งมอเตอร์ไซค์ผู้ผันตัวเข้ามาสู่วงการรถยนต์และผลิตเครื่อง ยนต์ 80 แรงม้า รถรุ่น 999 ที่คว้าชัยชนะในการแข่งรถในปี 1902 ทำให้ Ford ได้เจอกับคนรู้จักเก่าอย่าง Alexander Y. Malcomsonเถ้าแก่ถ่านหินแห่งเมืองDetroit ผู้ที่ให้การสนับสนุนและช่วยกันก่อตั้งบริษัท Ford &Malcomson, Ltd.เพื่อผลิตรถยนต์ จากนั้น Malcomson ได้สรรหาผู้ลงทุนเพิ่มขึ้น และได้เปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่อีกครั้งเป็น Ford Motor Company ซึ่งต่อมาในปี 1908 ได้ทำการเปิดตัวรถรุ่นใหม่Ford Model T ซึ่งเป็นที่โด่งดังมากในขณะนั้น เพราะชาวอเมริกันส่วนใหญ่สามารถซื้อมาเป็นเจ้าของได้ด้วยความที่มีราคาไม่ แพงและขับขี่ง่าย การซ่อมแซมและชิ้นส่วนมีราคาถูก ทำให้หลายๆ บริษัททำการลอกเลียนแบบ จึงเป็นที่มาของกระแส Fordism ซึ่งมียอดขายเป็นจำนวนทั้งสิ้นถึง 15,007,034 คันในรอบ 45 ปี

           
 
 

 
 ตั้งแต่ปี 1958 บริษัท Ford Motor ได้ทำการเปิดตัวรถยี่ห้อใหม่ในเครือหลายยี่ห้อเช่น Edsel, Merkurและ Mercury ที่เพิ่งปิดตัวไปเมื่อปี 2010 ทั้งหมดได้ถูกยุบกิจการสืบเนื่องมาจากไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องของยอดขาย
          นอกจากนั้นFord ยังเป็นเจ้าพ่อแห่งการซื้อขายค่ายรถยนต์ในปี 1989 ได้กว้านซื้อกิจการของบริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตสายเลือดอังกฤษ Aston Martinและได้ขายออกไปในปี 2007 ให้กับ David Richardsบริษัทกลุ่มวิศวกรรม Prodriveแต่ก็ยังคงถือหุ้นส่วนอยู่จำนวนหนึ่ง จากนั้นในปี 1990 ซื้อกิจการของ Jaguar จากตลาดหุ้นลอนดอนและซื้อบริษัท Rover มาจาก BMW ในปี 2000 และได้ขายทั้ง Jaguar และ Land Rover ให้กับ Tata Motor ในปี 2008 จากนั้นได้ซื้อบริษัทVolvoในปี 1999 ขายต่อให้กับ Zhejiang Geely Holding Group หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของจีน ในปี 2010 และปัจจุบันยังเป็นหุ้นส่วนของ Mazda อีกด้วย

          
 
 
ในปี 2010 Ford มียอดขายติดอันดับที่ 5 ของโลก และยังเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ถูกบันทึกสถิติในปี 2008 ไว้ว่า Ford ได้ผลิตรถยนต์จำนวน 5.532 ล้านคัน มีพนักงาน 213,000 คน โรงงานผลิตอะไหล่และประกอบรถยนต์ 90 แห่งรอบโลก และยังได้รับรางวัลสำรวจคุณภาพจาก J.D.Power And Associates 

ชื่อบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ลิมิเทด
ก่อตั้ง ค.ศ. 1903
สำนักงานใหญ่ BRENTWOOD ESSEX CM13 3MWENGLAND
โรงงานในอังกฤษ 8 โรงงาน
เว็บไซต์: www.ford.com
 
 
 
 
 
 
 
 
 

Audi






       สัญลักษณ์เดิมของเอาดีเป็นรูปวงแหวนสี่วง คล้องเรียงกันแต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอาดีได้เปลี่ยนสัญลักษณ์เป็นรูปวงรีสี แดงภายในบรรจุตัวอักษร AUDI สีขาว อย่างไรก็ตามรถเอาดีทุกคันที่ผลิตออกจำหน่ายในปัจจุบัน บนแผงกระจังหน้ายังคงติดสัญลักษณ์วงแหวนสี่วงเช่นเดิม ประวัติความเป็นมาของเอาดีสามารถย้อนหลังไปได้จนถึงปี 1902 อันเป็นปีที่นาย ออกัสท์ ฮอร์ค AUGUST HORCH วิศวกรชาวเยอรมันได้เปิดกิจการผลิตรถยนต์ขึ้นในเยอรมันโดยใช้ชื่อสกุลของเขา เป็นยี่ห้อรถ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากฝีมือในการบริหารเงินทุนของนายฮอร์คไม่ได้ปราดเปรื่องเหมือนความ รู้ทางวิศวกรรมที่เขามีอยู่ ไม่กี่ปีหลังจากนั้นนายฮอร์คก็ต้องขายกิจการดังกล่าวให้แก่ผู้อี่น ไปเพราะมีทีท่าว่าถ้าขืนทู่ซี้ต่อไปกิจการก็อาจจะล้มละลาย แต่นายฮอร์คไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ ในปี 1909 เขาก็ก่อตั้งกิจการผลิตรถยนต์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่จะใช้ชื่อเดิมก็ไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย บังเอิญไปได้ความรู้จากบุตรชายที่กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยว่า ชื่อ HORCH มีความหมายเหมือนคำ ว่า AUDI ในภาษาละติน (แปลว่า “ฟัง”) นายฮอร์คจึงตัดสินใจใช้ชื่อ AUDI เป็นยี่ห้อของรถที่ผลิตนับแต่นั้น

 


เอาดีประกอบกิจการผลิตรถยนต์เป็นเอกเทศจนถึงปี 1932 ก็ถูกสภาวะเศรษฐกิจบีบบังคับให้ต้องรวมกิจการเข้ากับผู้ผลิตรถยนต์อีกสามราย คือ ฮอร์ค (HORCH) วอนเดอเรอร์ (WANDERER) และดีเคดับลิว (DKW) กลายเป็นบริษัทใหม่มีชื่อว่า ออโต้ ยูเนียน (AUTO UNION) และมีรูปวงแหวนสี่วงคล้องเรียงกันเป็นสัญลักษณ์ หลังสงครามโลกครั้งที่สองเยอรมันถูกแบ่งออกเป็นสองประเทศโรงงานของเอาโท ยูเนียน ซึ่งอยู่ในเยอรมนีตะวันออกถูกยึดเป็นสมบัติของรัฐ และเปลี่ยนชื่อรถที่ผลิตเป็น ทราบันท์ (TRABANT) ส่วนในเยอรมนีตะวันตกก็มีการก่อตั้งออโต้ ยูเนียน ขึ้นใหม่ในปี 1949 แต่คราวนี้ผลิตรถออกจำหน่ายเพียงยี่ห้อเดียวคือ ดีเคดับลิว ชื่อ เอาดี ฮอร์ค และวอนเดอเรอร์ จึงตายไปจากอาณาจักรรถยนต์ 15 ปีหลังจากนั้น โฟล์คสวาเกน (VOLKSWAGEN) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของเยอรมันเข้าครองกิจการของออโต้ ยูเนียน และหนึ่งปีหลังจากนั้น ชื่อ เอาดี ก็ฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่ง เมื่อโฟล์คสวาเกนใช้ชื่อ เอาดี 80 เป็นชื่อรุ่นของรถแบบใหม่ที่สร้างขึ้นจากตัวถึงและโครงฐานของรถดีเคดับลิวเอ ฟ 102 และติดตั้งเครื่องยนต์ 4 สูบ ความจุ 1.7 ลิตร 








 



    ปรากฎว่ารถแบบดังกล่าวประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีชื่อเอาดีจึงฮิทติดตลาดและรถ เอาดี 90 กับ เอาดี100 ก็ตามมา ปัจจุบัน เอาดี มีฐานะเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายหนึ่งซึ่งสังกัดอยู่ในกลุ่มโฟล์คสวาเกน-เอาดี-เซอาท (VOLKSWAGIN-AUDI-SEAT) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ทีมียอดขายสูงสุดในยุโรปตะวันตก ปี 1990 ทำยอดขายได้ถึง 2.0 ล้านคัน รถยนต์นั่งที่เอาดีผลิตออกจำหน่ายในปัจจุบัน มีตั้งแต่รถยนต์นั่งขนาดเล็กอย่าง เอาดี 80 ไปจนถึงรถยนต์นั่งระดับหรูสำหรับนักบริหารอย่าง เอาดี วี 8 

ชื่อบริษัท: เอาดี อาเก
AUDI AG
ก่อตั้ง: ค.ศ. 1969
สำนักงานใหญ่: POSTFACH 220,8070 INGOLSTADT,
GERMANY
เว็บไซต์: www.audi.com




  














รถรุ่นสำคัญ: เอาดี 100 (1969)
เอาดี 100 คูเป เอส (1970)
เอาดี 80 (1972)
เอาดี 100 (1976)
เอาดี 80 (1978)
เอาดี 200 5 ที (1980)
เอาดี 100 (1982)
เอาดี 200 เทอร์โบ (1983)
เอาดี ควาตโคร สปอร์ท (1984)
เอาดี วี 8 (1988)
เอาดี 100 (1990)
เอาดี 80 (1991)
เอาดี 80 (AUDI 80)
เอาดี คูเป (AUDI COUPE)
เอาดี คาบริโอเลต์ (AUDI CABRIOLET)
เอาดี 100 (AUDI 100)
เอาดี 100 อาวันท์ (AUDI 100 AVANT)
เอาดี วี 8 (AUDI V8)










Bentley



เบนท์ลีเป็นรถยนต์นั่งระดับอัครฐานที่คง ความเป็นผู้ดีอังกฤษไว้ทุกกระเบียดนิ้ว ผู้ร่ำรวยอารมณ์ขันบางคนเรียกรถยี่ห้อนี้ว่า”โรลล์ส-รอยศ์ สำหรับเศรษฐีระดับรอง” ผู้ชื่นชอบเรื่องสายลับ และเคยอ่านนิยายสายลับชุด”เจมส์ บอนด์ พยัคร้าย 007” มาแล้วคงทราบกันดีว่า รถที่ยอดสายลับของเราโปรดปรานเป็นพิเศษ คือ รถเบนท์ลีย์นี่เอง ไม่ใช่แอสตันมาร์ติน หรือโลทัส เอสปรีต์ เทอร์โบ อย่างที่เห็นในโฆษณาภาพยนต์ ผู้ให้กำเนิดรถเบนท์ลีย์ คือ วอลเตอร์ โอเวน เบนท์ลี (WALTER OWIN BENTLEY)ชาวอังกฤษ ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 16 กันยายน 1888 และเป็นคนที่ 9 ในบรรดาพี่น้องตระกูลเบนท์ลีย์จำนวน 11 คน ในปี 1920 เมื่อมีอายุ 32 ปี เขาได้ก่อตั้งบริษัท เบนท์ลีย์ มอเตอร์ ลิมิเทด(BENTLEY MOTOR LIMITED) ด้วยเงินทุนจดทะเบียน 200,000 ปอนด์ และสร้างโรงงานขึ้นที่เมืองคริคเคิลวูดทางเหนือของกรุงลอนดอน เพื่อผลิตรถยนต์ออกจำหน่ายโดยใช้ชื่อสกุลเป็นยี่ห้อรถ รถเบนท์ลีย์ในยุคนั้นจัดได้ว่าเป็นรถคุณภาพเยี่ยม แต่มีราคาแพง จึงขายได้ไม่มาก แม้ว่าชื่อเสียงเป็นที่นิยมกัน เพราะสามารถชนะเลิศการแข่งขันเลอมองส์ (LEMANS)ถึง 4 ปี ติดต่อกันในปี 1927-1930 เบนท์ลีย์จึงประสบปัญหาด้านการเงินอยู่บ่อย และเพียง 11 ปีหลังการก่อตั้ง คือในปี 1931 วอลเตอร์ โอเวน เบนท์ลีย์ ก็ถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ต้องขายกิจการทั้งหมดให้แก่โรลล์ส-รอยศ์และตัว เขาเองเปลี่ยนฐานะจากผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นเพียงลูกจ้างคนหนึ่งของโรลล์ส-รอยศ์ ตั้งแต่ปี 1931 เป็นต้นมาเบนท์ลีย์ มอเตอร์ จึงกลายสภาพเป็นบริษัทในเครือของโรลล์ส-รอยศ์ และรถเบนท์ลีย์ทุกคันก็ผลิตจากโรงงานเดียวกับรถโรลล์ส-รอยศ์อันโด่งดังนั่น เอง ปัจจุบันเบนท์ลีย์ผลิตรถยนต์นั่งออกจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 5 โมเดล



 

ชื่อบริษัท: เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส ลิมิเทด
(BENTLEY MOTORS LIMITED)
ก่อตั้ง: สิงหาคม 1919
เจ้าของในปัจจุบัน: โรลล์ส-รอยศ์ มอเตอร์ คาร์ส ลิมิเทด
(ROLLS-ROYC MOTOR CARS LIMITED)
สำนักงานใหญ่: CREWE,CHESHIRE CW 1 3PL,ENGLAND
เว็บไซต์: www.bentleymotors.com

 


รถรุ่นสำคัญในอดีต: เบนท์ลีย์ 3.5 มาร์ค วัน (1933)
เบนท์ลีย์ 4.5 มาร์ค ซิกซ์ (1946)
เบนท์ลีย์ คอนทิเนนทัล (1951)
เบนท์ลีย์ อาร์ ไทพ์ (1952)
เบนท์ลีย์ เอส 1 (1955)
เบนท์ลีย์ เอส 2 (1959)
เบนท์ลีย์ เอส 3 (1969)
เบนท์ลีย์ “ที” ซีรีส์ (1965)
เบนท์ลีย์ มูลซานน์ (1980)
เบนท์ลีย์ เทอร์โบ(1982)
เบนท์ลีย์ เทอร์โบ อาร์ (1985)

รถยนต์นั่งที่ผลิตในปัจจุบัน: เบนท์ลีย์ เอจท์ (BENTLEY EIGHT)
เบนท์ลีย์ มูลซานน์ เอส(BENTLEY MULSANNE S)
เบนท์ลีย์ เทอร์โบ อาร์ (BENTLEY TURBO R)
เบนท์ลีย์ เทอร์โบ อาร์ แอลดับลิวบี (BENTLEY TURBO R LWB)
เบนท์ลีย์ คอนทิเนนทัล(BENTLEY CONTINENTAI)









Rolls Royce




        Rolls Royce“รถยนต์นั่งที่ดีที่สุดในโลกคือรถอะไร?” เป็นคำถามที่ยากจะหาคำตอบ แต่เมื่อใดก็ตามที่มีการพูดถึง”รถยนต์นั่งที่ดีที่สุดในโลก”ชื่อ โรลล์ส-รอยศ์ จะถูกกล่าวขานด้วยทุกครั้ง สัญลักษณ์ของรถยนต์นั่งระดับหรูและอัครฐานยี่ห้อนี้ เป็นตัวอักษร R สองตัว ล้อมรอบด้วยรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าลบมุม ด้านบนมีชื่อ ROLLS ด้านล่างมีชื่อ ROYCE อักษร R สองตัวดังกล่าวนี้ ก็คือักษรย่อของชื่อ ROLLS และ ROYCE ซึ่งเป็นนามสกุลของชาวอังกฤษ 2 คน ที่ร่วมกันก่อตั้งกิจการผลิตรถยนต์โรลล์ส-รอยศ์นั่นเอง นอกจากสัญลักษณ์ดังกล่าวแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของโรลล์ส-รอยศ์ และเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลกในชื่อ”THE SPIRIT OF ECSTASY” หรือ “จิตวิญญาณแห่งความปิติ” โรลล์ส-รอยศ์มอบหมายให้นายชาร์ลส์ โรบินสัน ไซค์ส์ (CHARLES ROBINSON SYKES)เป็นผู้ออกแบบ โดยจินตนาการถึงนางฟ้าองค์น้อยที่หลงใหลกับการเดินทางโดยรถยนต์ และได้บินลงมาประทับบนหน้าหม้อรถโรลล์ส-รอยศ์ เพื่อเริงรื่นกับอากาศอันบริสุทธิ์ หุ่นนางฟ้า”THE SPIRIT OF ECSTASY” นี้นับเป็นสัญลักษณ์รถยนต์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีโดยทั่วไป


















        
        ชาร์ลส์ สจวร์ท โรลล์ส (DHARLES STEWART ROLLS ) และ เฟรเดริค เฮนรี รอยศ์ (FREDERICK HENRY ROYCE) เป็นชาวอังกฤษด้วยกันทั้งคู่ แต่มีฐานะทางครอบครัวและระดับการศึกษาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงโรลล์สอยู่ในตระกูลผู้สูงศักดิ์ และสำเร็จการศึกษาด้านวิศวกรรมจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์อันมีชื่อเสียง ส่วยรอยศ์เกิดในครอบครัวของสามัญชนผู้ยากจน ในวัยเด็กยังชีพด้วยการขายหนังสือพิมพ์ตามท้องถนน แต่ด้วยความมานะพยายามและสู่ชีวิต เขาได้เรียนรู้งานวิศวกรรมเบื้องต้น วิชาภาษาต่างประเทศ วิชาคำนวน และวิชาไฟฟ้าจนสามารถเปิดบริษัทของตนเองขึ้นมาได้ โชคชะตาชักนำให้คนทั้งสองได้พบกัน และร่วมกันก่อตั้งบริษัทโรลล์ส-รอยศ์ ลิมิเทด (ROLLS-ROYCE LTD.) ขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม 1906 ด้วยเงินลงทุน 60,000 ปอนด์ และนั่นเองคือจุดกำเนิดของรถยนต์นั่งระดับหรูหราอัครฐานและคู่ควรกับคำว่า”รถยนต์นั่งที่ดีที่สุดในโลก” นับแต่ก่อตั้งกิจการตราบจนปัจจุบัน โรลล์ส-รอยศ์ผลิตรถยนต์ออกจำหน่ายทั้งในชื่อ โรลล์ส-รอยศ์ และ เบนท์ลีย์ รวมทั้งสิ้น 43 รุ่น สำหรับรถที่ผลิตออกจำหน่ายในปัจจุบันในชื่อโรลล์ส-รอยศ์ มีอยู่เพียง 3 รุ่น คือ ซิลเวอร์ สปิริททู(SILVER SPIRIT II) ซิลเวอร์ สเปอร์ ทู (SILVER SPUR II) และ คอร์นิช ธรี (CORNICHE III) ในปัจจุบัน บริษัท โรลล์ส-รอยศ์ มอเตอร์ คาร์ส์ ลิมิเทด(ROLLS-ROYCE MOTOR CARS LIMITED) เป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัท วิกเคอร์ กรุพ ซึ่งมีกิจการกว้างขวาง ทั้งในด้านอุปกรณ์การแพทย์ วิศวกรรมทางทะเล ยานเกราะ อุตสาหกรรมโลหะ และอุตสาหกรรมยาน

 


ชื่อบริษัท: โรลล์ส-รอยศ์ มอเตอร์ ลิมิเทด (ROLLS-ROYCE MOTOR CARS LIMITED
ก่อตั้ง: มีนาคม 1906
สำนักงานใหญ่: CREWE,CHESHIRE CW1 3PL,ENGLAND
เว็บไซต์: www.rolls-roycemotorcars.com